Smooth perfect skin
เริ่มต้นจุดละ 300 บาท (ประเมินการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น)
ไฝขี้แมลงวันส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของ Melanocyte (เมลาโนไซท์) ซึ่งเป็นเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) มีหน้าที่สร้างเม็ดสีเมลานินเพื่อป้องกันผิวหนังจากแสงแดด การผลิตเมลานินในชั้นผิวหนังกำพร้าที่ผิดปกติจะทำให้เกิดเนื้องอก หรือติ่งเนื้อจากการเพิ่มจำนวนเซลล์ของ Melanocyte (เมลาโนไซท์) โดยไฝจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนส่วนขี้แมลงวันจะเป็นตุ่มราบสีดำ และอยู่ตื้นกว่าไฝติ่งเนื้อ กระเนื้อส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์ และอายุที่มากขึ้น มักพบในผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปจะมีขนาดใหญ่ และจำนวนมากขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นมักมีประวัติเป็นในครอบครัวเดียวกัน ซึ่งไม่มีอันตรายเพียงแต่ดูไม่สวยงามเท่านั้น โดยทั่วไปไฝขี้แมลงวัน หรือติ่งเนื้อ กระเนื้อตามผิวหนังจะเพิ่มปริมาณขึ้นตามอายุอย่างช้าๆ มักสังเกตุเหตุตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ในทางการแพทย์ระบุว่าไฝทุกเม็ดอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้จึงควรสังเกตุไฝติ่งเนื้อ และขี้แมลงวันรูปร่างสี และขนาดรอบๆ ไฝว่ามีการอักเสบบวมแดงหรือไม่ ถ้าพบความผิดปกติเกิดขึ้นกับไฝหรือขี้แมลงวันควรปรึกษาแพทย์ทันที
สาเหตุของการเกิด
เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ผิวหนังที่พบได้บ่อยๆ ในบุคคลทั่วไปจะมากหรือน้อยแตกต่างกัน ตามแต่ละเชื้อชาติพันธุ์กรรม และตัวบุคคลเอง การรักษาในปัจจุบันมีหลายวิธีแต่ที่นิยมใช้รักษาคือการใช้เลเซอร์ CO2 (Carbondioxide Laser) ตัดไฝ ขี้แมลงวัน หรือติ่งเนื้อออกด้วยประสิทธิภาพการล็อคจุด และความคมของลำแสงเลเซอร์ CO2 จึงมีความแม่นยำสูงในการกำจัดได้ผลดีไม่ทำให้เกิดแผลเป็นตามมา
หลักการทำงานของเลเซอร์ CO2
เลเซอร์ CO2 ใช้พลังงานความร้อนจัดในช่วงคลื่นอินฟาเรดด้วยความยาวคลื่น 10,600 nm กำจัดเซลล์เนื้อเยื่อส่วนเกิน พลังงานความร้อนของเลเซอร์ทำให้หลอดเลือดบริเวณที่ผ่าตัดหดตัว จึงเป็นเสมือนตัวช่วยหยุดการไหลของเลือด ขณะตัดเซลล์ผิวหนังความร้อนของเลเซอร์ยังช่วยลดโอกาสการติดเชื้อ และฆ่าเชื้อไปในตัวด้วย
การดูแลผิวหลังการทำเลเซอร์ CO2
- หลังการยิงเลเซอร์แพทย์จะให้ยาป้องกันการติดเชื้อเพื่อใช้ทาบริเวณผิวหนังที่ตัดออกไป
- ควรปิดแผลไม่ให้โดนน้ำอย่างน้อย 1 วัน
- ภายใน 7 วันหลีกเลี่ยงอากาศร้อนฝุ่นควันเหงื่อไม่ให้โดนแผลโดยตรง และไม่ควรใช้ครีมกันแดดหรือเครื่องสำอางบริเวณแผล
- แผลจะค่อยๆ แห้ง และตกสะเก็ดจนหายเป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับร่างกายแต่ละบุคคล
*ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหา และการตอบสนองของแต่ละบุคคล